หลายท่านคงเคยนึกสงสัยว่า การที่รูปทรงจมูกของแต่ละคนแตกต่างกันนั้นเพราะอะไร ทำไมจมูกบางคนถึงสวยได้รูปกว่าคนอื่น แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างของจมูกนั่นเองที่แตกต่างกัน ซึ่งแนวคิดนี้คือ “หากสามารถแก้ไขโครงสร้างทุกชนิดให้สวยใกล้เคียงกันได้ ย่อมสามารถปรับแต่งรูปทรงให้สวยแบบใดก็ได้เช่นกัน”
ด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการศัลยกรรมตกแต่ง เสริมหน้าอก ทำนม ศัลยกรรมหน้าอก (Breast surgery) และศัลยกรรมจมูก (เสริมจมูก) และใบหน้า (Nose& Facial surgery) ประสบการณ์มากกว่า 17 ปี
โครงสร้างของจมูก ประกอบไปด้วย
ตัวอย่างการรักษาโดยทีมแพทย์ และทำความรู้จักกับเทคโนโลยี หรือเครื่องมือที่ทันสมัยของคลินิก
เสริมจมูก ด้วยซิลิโคนจรดปลายจมูก (Conventional Nasal implant technique) หมายถึง การเหลาซิลิโคนให้ได้รูปทรง สอดไว้ใต้ผิวหนัง วางทับอยู่บนกระดูกสันจมูกและกระดูกอ่อนปลายจมูก ซึ่งเป็นวิธีเดิมที่ศัลยแพทย์ใช้กันมานานหลายสิบปี อย่างไรก็ตามเป็นที่รู้กันว่า ถ้าระยะเวลานานพอ เช่น 1-2 ปีขึ้นไป ไม่ว่าศัลยแพทย์จะระมัดระวังอย่างไร หรือราคาทำผ่าตัดแพงหลายหมื่นหลายแสนแค่ไหน ซิลิโคนจะนิ่มหรือยืดหยุ่นมากแค่ไหน (Softness or durability) หากไม่ปฏิเสธความจริงก็จะพบว่าสามารถเกิดปัญหาผิวหนังที่ปลายจมูกบางลงจนเกิดความไม่ธรรมชาติ มองเห็นซิลิโคนได้ หรือบางครั้งรุนแรงจนปลายจมูกทะลุได้ (ดังภาพ) และการจะแก้ไขให้กลับมาในสภาพที่ปกติหลังจากเกิดการทะลุนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก หรือทำไม่ได้เลย เพราะปลายจมูกจะหดสั้นลง มีการบุ๋มของเนื้อเยื่ออย่างถาวรจากผิวหนังที่บางมาก และแผลเป็นหดรั้งจากภายใน
ข้อดี : คือ ค่าใช้จ่ายถูก ศัลยแพทย์ผ่าตัดได้รวดเร็ว
ข้อเสีย : คือ ความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยเฉพาะที่ปลายจมูกในระยะยาว อาจรุนแรงมากจนทะลุได้ เวลาสัมผัสที่ปลายจมูกยังรู้สึกถึงซิลิโคนได้ ไม่ธรรมชาติ
เสริมจมูก ด้วยซิลิโคนจรดปลายจมูก + วางกระดูกอ่อนเสริมเย็บครอบไว้ที่ปลายซิลิโคน (Conventional Nasal implant technique + Cartilage graft) (ทาง PSC ไม่ได้ใช้วิธีนี้) หมายถึง การผ่าตัดตามข้อ 1 แต่เพิ่มการวางกระดูกอ่อนชิ้นหนึ่ง ครอบไว้หน้าต่อปลายแท่งซิลิโคน เพื่อลดปัญหาการบางหรือทะลุของผิวหนังปลายจมูก สามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่อาจพบ คือ
ข้อดี : คือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแก้โครงสร้างจมูก
ข้อเสีย : คือ มีความเสี่ยงเรื่องการมองเห็นชิ้นกระดูกอ่อนเป็นวงที่ปลายจมูกมีโอกาสเกิดการสลายไปของกระดูกอ่อน และเวลาสัมผัสที่ปลายจมูกยังรู้สึกถึงซิลิโคนได้
เสริมจมูก โดยการวางซิลิโคนหรือวัสดุอื่นเช่น Gore-tex เพื่อเสริมเฉพาะที่สันจมูก ร่วมกับการปรับแต่งโครงสร้างกระดูกอ่อนที่ปลายจมูกและการเสริมกระดูกอ่อนที่ปลายจมูก (Nasal bridge implant + Nasal tip framework reshaping + cartilage graft) (หมอพีระได้นำมาพัฒนาต่อเนื่องจนปัจจุบันกลายเป็นเทคนิคเฉพาะ PSC Technique)
ซึ่งการปรับแต่งปลาย บางครั้งหมอเรียกย่อๆว่า Tip Modification แต่แท้ที่จริงแล้วคนที่วางคอนเซปท์เรื่องนี้นานมาแล้ว คือ Professor Jach H.Sheen ปัจจุบันอยู่ที่ California ,USA ซึ่งตอนนั้นนิยมใช้กระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก (Septum) แต่ในปัจจุบันในวงการจะนิยมใช้กระดูกอ่อนจากส่วนหลังใบหู (Concha) หรือ กระดูกกั้นกลางจมูกก็ได้
วิธีนี้ในปัจจุบันได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะด้านเสริมจมูกและตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับนานาชาติมากมาย และพิสูจน์แล้วว่ามีความปลอดภัยสูงที่สุดและคงทนถาวร เพราะสาเหตุดังนี้
ข้อดี: ความคงทน สวยงามและปลอดภัยระยะยาว เวลาสัมผัสเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นปลายกระดูกอ่อนจริง
ข้อเสีย : ความซับซ้อนของการผ่าตัดสูงมากหลายเท่า ใช้เวลาผ่าตัดนานหลายชั่วโมง ค่าใช้จ่ายสูงผลลัพธ์ขึ้นกับเทคนิคค่อนข้างมาก และหากไม่ชำนาญการแก้ไขจะยากกว่าจึงต้องมีความแม่นยำสูง
กรณีการใช้กระดูกอ่อนเทียม เพื่อพยายามมาใช้แทนกระดูกอ่อนจริงนั้น วัสดุชนิดนี้แท้จริงคือ MEDPOR หรือ porous polyethylene จะมีรูพรุนให้เนื้อเยื่อเข้าไปยึดเกาะ หมอเลิกใช้ไปเมื่อหลายปีก่อนเนื่องจากพบปัญหาสำคัญคือ ยังมีโอกาสทะลุได้พอสมควร และปลายจมูกจะแข็งไม่มีการเคลื่อนไหวที่ดี (Stiffness) ปัจจุบันศัลยแพทย์ด้านทำจมูกที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศก็ไม่นิยมใช้เช่นกัน
สำหรับโดยส่วนตัว หมอชื่นชอบวิธีที่ 3 นี้ และใช้เป็นมาตรฐานในการผ่าตัดจมูก และได้ริเริ่มพัฒนามานาน ซึ่งที่ต่างประเทศก็มีการผ่าตัดลักษณะนี้อย่างแพร่หลายเช่นกันเนื่องจากปลอดภัยกว่าวิธีเดิม หมอได้นำมาใช้กับคนไข้ตนเองตั้งแต่ยุคที่ในเมืองไทยยังไม่ค่อยรู้จัก บางศัลยแพทย์จึงยังออกความเห็นต่อต้านสิ่งเหล่านี้อยู่ ตอนที่มีสื่อมาสัมภาษณ์ก็เกิดกระแสต่อต้านรุนแรงพอสมควร หมออดทนพัฒนาเรื่อยมาให้ได้งานที่สมบูรณ์ และปัจจุบันกลายเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้ว ที่คลินิกเองคนไข้จะมาปรึกษาเรื่องการผ่าตัดจมูกชนิดนี้เป็นหลัก จนแทบจะยกเลิกการผ่าตัดสองวิธีแรกไปแล้ว ทั้งที่แต่ก่อนหมอก็ชอบใช้ซิลิโคนเสริมจมูก และเห็นว่าสะดวกดี
ข้อจำกัดคือ ความซับซ้อนในการผ่าตัดซึ่งมากกว่าปกติหลายเท่า ใช้เวลาผ่าตัดนานเกือบ 3.5 ชั่วโมง/ราย ที่ PSC จึงรับเคสเพียงวันละ 1 รายเท่านั้น ยิ่งเคสแก้ไขยิ่งยากทวีคูณเพราะเซนสิทีฟมาก เพราะโครงสร้างทุกอย่างต้องซ่อมส่วนที่เสียหายจากซิลิโคนเดิมเสียก่อนและผิวหนังก็มักจะบางมาก
ในแง่ของคนไข้เอง คนที่สนใจในการผ่าตัดชนิดนี้ก็ควรสอบถามศัลยแพทย์ของตนในรายละเอียดว่าการผ่าตัดเสริมจมูกเป็นวิธีไหนในระหว่าง 3 วิธีดังกล่าว และอาจต้องตัดสินใจในแง่ของความเสี่ยง ข้อดี ข้อเสีย และ ค่าใช้จ่ายที่ตนเองยอมรับได้ด้วยเช่นกันครับ
ข้อดี : คือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแก้โครงสร้างจมูก
ข้อเสีย : คือ มีความเสี่ยงเรื่องการมองเห็นชิ้นกระดูกอ่อนเป็นวงที่ปลายจมูกมีโอกาสเกิดการสลายไปของกระดูกอ่อน และเวลาสัมผัสที่ปลายจมูกยังรู้สึกถึงซิลิโคนได้
จริงๆแล้วไม่จำเป็น เป็นเพียงความเชื่อ ด้วยสื่อโฆษณาต่างๆและการชักชวนของเอเจ้นท์ ทำให้ปีหนึ่งๆคนไทยได้บินไปและเสียค่าผ่าตัดสูงกว่าที่จำเป็นถึงสองสามเท่าตัว ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและที่พัก และยังมีเคสกลับมาแก้ไขที่เมืองไทยบ่อยๆ รวมถึงผลแทรกซ้อนต่างๆเพราะไม่สามารถดูแลใกล้ชิดได้
24 พ.ค. - เคสเสริมจมูก
รีวิวแก้จมูกด้วยเทคนิคปรับโครงสร้าง โดย นพ.พีระ เทียนไพฑูรย์
READ MORE24 พ.ค. - เคสเสริมจมูก
รีวิวแก้จมูกด้วยเทคนิคปรับโครงสร้าง โดย นพ.พีระ เทียนไพฑูรย์
READ MORE2 พ.ค. - เคสเสริมจมูก
รีวิวแก้จมูกด้วยเทคนิคปรับโครงสร้าง โดย นพ.พีระ เทียนไพฑูรย์
READ MORE1 พ.ค. - เคสเสริมจมูก
รีวิวเคสเสริมจมูก คุณ YOYO โดย นพ.พีระ เทียนไพฑูรย์
READ MOREเสริม หน้าอกสามารถนิ่มได้ใกล้เคียงหน้าอกจริง โดยขึ้นกับปริมาณของเนื้อไขมันที่มี ปริมาณเนื้อเต้านม และชนิดของซิลิโคน และมีพังผืดด้วยหรือไม่
สามารถพบได้แต่น้อยมาก ขึ้นกับคุณภาพของผิวหนังและขนาดที่ใส่ใหญ่มากเกินไปหรือไม่
ให้นมบุตรได้ปกติ แนะนำไม่เกินประมาณ 6-8 เดือน เพื่อป้องกันการยืดขยายของเต้านมนานเกินไป
ไม่เพิ่มความเสี่ยง โดยความเสี่ยงเท่ากับคนปกติที่ไม่เสริมเต้านม
ปัจจุบันนิยมใช้ถุงซิลิโคนเจล ชนิดผิวนาโนเทคเจอร์ หรือผิวเรียบ เลือกขนาดที่พอเหมาะกับร่างกาย ตามสภาพขนาดลำตัวและลักษณะผิวหนัง ความหนาบางของเต้านม การคล้อยตัวของหน้าอก โดยอยู่ในคำแนะนำของศัลยแพทย์
แนะนำพักกล้ามเนื้อและแผลผ่าตัดประมาณ 6 เดือน
แนะนำผ่าตัดหลังจากอายุ 17 ปี ขึ้นไป เพื่อรอให้เต้านมเจริญเติบโตเต็มที่ก่อน
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุก 10 ปี แนะนำให้ทำ MRI scan ที่ระยะ 8-9 ปี หลังผ่าตัด เพื่อตรวจเช็คถุงซิลิโคน หากปกติสามารถใช้ต่อได้โดยทำสแกนซ้ำทุกๆ 3 ปี
การเกิดพังผืดเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอม ปัจจุบันพบน้อยมากราว 0.2% ในการผ่าตัดสมัยใหม่
เริ่มตั้งแต่การผ่าตัดต้องบาดเจ็บน้อย เพื่อลดการอักเสบและการตอบสนองให้มากที่สุด รวมถึงการเลือกซิลิโคนชนิดที่ร่างกายตอบสนองน้อย ( Biocompatibility ดี) และมีความคงทนสูง ไม่มีการซึมของเจลได้ง่าย( Gel bleed) และการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดที่ถูกต้อง
เริ่มตั้งแต่การผ่าตัดต้องบาดเจ็บน้อย เพื่อลดการอักเสบและการตอบสนองให้มากที่สุด รวมถึงการเลือกซิลิโคนชนิดที่ร่างกายตอบสนองน้อย ( Biocompatibility ดี) และมีความคงทนสูง ไม่มีการซึมของเจลได้ง่าย( Gel bleed) และการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดที่ถูกต้อง
ทำได้ตามปกติแต่ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าอกที่มากเกินไปในช่วงที่กล้ามเนื้ออักเสบโดยเฉพาะช่วง 1 เดือนแรก
นอกจากการผ่าตัดการเย็บที่ดีแล้ว ให้หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป เพื่อลดแรงดึงที่แผล และปิดแผ่นเจล ทายาที่แผลผ่าตัดในระยะเวลา 6 เดือน อย่างเคร่งครัด
พบว่าเกิดได้ในชาวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ ถือเป็นโรคหายาก เกี่ยวข้องกับซิลิโคนชนิดผิวทรายหยาบแบบดั้งเดิม ที่กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองเป็นระยะเวลานาน ไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับซิลิโคนชนิดผิวเรียบหรือทรายกึ่งเรียบ
ในปัจจุบันองค์การอนามัยโลกยังไม่แนะนำคนไข้ให้ผ่าตัดซิลิโคนชนิดผิวทรายแบบดั้งเดิมนึ้ออก
เพราะความเสี่ยงต่ำมาก แนะนำให้สังเกตอาการโดยปรึกษาแพทย์
คลินิกศัลยกรรมตกแต่ง PSC ให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทาง และเครื่องมือที่มีมาตรฐาน ทันสมัย ด้วยประสบการณ์มากกว่า 17 ปี ในสายอาชีพศัลยกรรม ได้รับรางวัลและเป็นวิทยากรรับเชิญชั้นนำในระดับโลก ทั้งด้านบริการ เสริมจมูก และ บริการเสริมหน้าอก ทำนม โดยคุณหมอพีระ เทียนไพฑูรย์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง PSC Clinic | Plastic Surgery Skin & Laser