open-navigation
close-navigation
open-navigation
close-navigation

เทคนิคเสริมจมูก

เทคนิคเสริมจมูก วิธีเสริมจมูก Open ด้วยเทคนิคพิเศษ โดยการสร้างปลายกระดูกอ่อนจริง

หลายท่านคงเคยนึกสงสัยว่า การที่รูปทรงจมูกของแต่ละคนแตกต่างกันนั้นเพราะอะไร  ทำไมจมูกบางคนถึงสวยได้รูปกว่าคนอื่น   แท้ที่จริงแล้วโครงสร้างของจมูกนั่นเองที่แตกต่างกัน   ซึ่งแนวคิดนี้คือ  “หากสามารถแก้ไขโครงสร้างทุกชนิดให้สวยใกล้เคียงกันได้   ย่อมสามารถปรับแต่งรูปทรงให้สวยแบบใดก็ได้เช่นกัน”

ด้วยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการศัลยกรรมตกแต่ง เสริมหน้าอก ทำนม ศัลยกรรมหน้าอก (Breast surgery) และศัลยกรรมจมูก (เสริมจมูก) และใบหน้า (Nose& Facial surgery) ประสบการณ์มากกว่า 17 ปี

ปัญหาของเทคนิกการเสริมซิลิโคนแบบเดิม

โครงสร้างของจมูก ประกอบไปด้วย

  1. กระดูกแข็ง  (Bone)  ได้แก่ กระดูกสันจมูก (nasal bone) และกระดูกขากรรไกรบน  (upper maxilla) ซึ่งสองอย่างนี้จะเป็นตัวกำหนดรูปทรงของจมูกทางด้านบน  (โคนจมูก) และความกว้างหรือแคบของฐานจมูกทางด้านข้าง
  2. กระดูกอ่อน (Cartilages) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีความซับซ้อน และบอบบาง ประกอบด้ายกระดูกอ่อนชิ้นเล็กๆจำนวนมากประกอบเข้าด้วยกัน  จะเป็นตัวกำหนดรูปทรงของจมูกส่วนล่าง (Cartilaginous framework) และปลายจมูก (Nasal Tip) ว่าจะสวยงามเพียงใด
  3. ชั้นผิวหนัง และไขมัน  (Soft tissue coverage) จะเป็นตัวแปรสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้รูปทรงของปลายจมูกใหญ่ หรือเล็ก

คุณต๊อบ เฌอตฤณ กับ การแก้จมูก Open&Recon ปรับโครงสร้าง
ทำปลายกระดูกอ่อนจริง

PSC Clinic On Youtube

ตัวอย่างการรักษาโดยทีมแพทย์ และทำความรู้จักกับเทคโนโลยี หรือเครื่องมือที่ทันสมัยของคลินิก

เทคนิคต่างๆในการเสริมจมูกในปัจจุบัน และข้อดี – ข้อเสีย สามารถแบ่งได้ 3 วิธี ดังนี้

วิธีที่ 1 วิธีเสริมจมูกด้วยซิลิโคนปกติ (Simple Nasal implant)

เสริมจมูก ด้วยซิลิโคนจรดปลายจมูก (Conventional  Nasal implant technique) หมายถึง  การเหลาซิลิโคนให้ได้รูปทรง สอดไว้ใต้ผิวหนัง วางทับอยู่บนกระดูกสันจมูกและกระดูกอ่อนปลายจมูก ซึ่งเป็นวิธีเดิมที่ศัลยแพทย์ใช้กันมานานหลายสิบปี อย่างไรก็ตามเป็นที่รู้กันว่า ถ้าระยะเวลานานพอ เช่น 1-2 ปีขึ้นไป ไม่ว่าศัลยแพทย์จะระมัดระวังอย่างไร หรือราคาทำผ่าตัดแพงหลายหมื่นหลายแสนแค่ไหน  ซิลิโคนจะนิ่มหรือยืดหยุ่นมากแค่ไหน  (Softness or durability) หากไม่ปฏิเสธความจริงก็จะพบว่าสามารถเกิดปัญหาผิวหนังที่ปลายจมูกบางลงจนเกิดความไม่ธรรมชาติ มองเห็นซิลิโคนได้  หรือบางครั้งรุนแรงจนปลายจมูกทะลุได้ (ดังภาพ) และการจะแก้ไขให้กลับมาในสภาพที่ปกติหลังจากเกิดการทะลุนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก หรือทำไม่ได้เลย เพราะปลายจมูกจะหดสั้นลง มีการบุ๋มของเนื้อเยื่ออย่างถาวรจากผิวหนังที่บางมาก และแผลเป็นหดรั้งจากภายใน

 
ภาพเคสตัวอย่างเนื้อเยื่อที่ปลายจมูกบางลงจากการใส่ซิลิโคนที่ปลายจมูกหลังจาก 2-3 ปี

การทะลุปลายจมูกจากซิลิโคนผิวหนังหดตัวจากแผลเป็นรั้งเมื่อถอดซิลิโคนออก สาเหตุที่มักมีปัญหาการบางของผิวหนัง(Skin Atrophy) เฉพาะที่ปลายจมูก เพราะ

  • ปลายจมูกเป็นส่วนที่มีความตึงสูงสุด (high tension) เพราะเป็นส่วนที่ยื่นมากที่สุด ยิ่งเสริมซิลิโคนที่ปลาย แรงตึงนี้ก็จะสูงกว่าธรรมชาติมาก   ซึ่งในความเป็นจริง ผิวหนังทุกส่วนของร่างกายจะตอบสนองต่อแรงตึงที่ผิดธรรมชาติจากการใส่วัสดุเทียม  (Implant)  โดยการฝ่อลงของชั้นผิวหนังและไขมัน เช่น เสริมจมูก   เสริมหน้าอก    เป็นต้น
  • คนเราสัมผัสจมูกก็มักจะโดนปลายจมูกก่อน ไม่ว่าจะการขยี้จมูก ล้างหน้า สัมผัสต่างๆ  ก็จะเกิดแรงถู (Friction) ที่ผิวหนัง ช่วยเร่งให้ผิวบริเวณนี้บางมากขึ้น ซึ่งอธิบายว่าทำไมบางครั้งเสริมปลายนิดเดียว ยังทะลุได้

ข้อดี : คือ ค่าใช้จ่ายถูก  ศัลยแพทย์ผ่าตัดได้รวดเร็ว
ข้อเสีย : คือ ความเสียหายต่อเนื้อเยื่อโดยเฉพาะที่ปลายจมูกในระยะยาว อาจรุนแรงมากจนทะลุได้ เวลาสัมผัสที่ปลายจมูกยังรู้สึกถึงซิลิโคนได้ ไม่ธรรมชาติ

วิธีที่ 2 เสริมจมูกซิลิโคน+ ครอบปลายด้วยกระดูกอ่อน (Silicone implant+ cap graft)

เสริมจมูก ด้วยซิลิโคนจรดปลายจมูก +  วางกระดูกอ่อนเสริมเย็บครอบไว้ที่ปลายซิลิโคน  (Conventional  Nasal implant technique +  Cartilage graft(ทาง  PSC ไม่ได้ใช้วิธีนี้หมายถึง การผ่าตัดตามข้อ 1  แต่เพิ่มการวางกระดูกอ่อนชิ้นหนึ่ง ครอบไว้หน้าต่อปลายแท่งซิลิโคน เพื่อลดปัญหาการบางหรือทะลุของผิวหนังปลายจมูก  สามารถเพิ่มความปลอดภัยได้ในระดับหนึ่ง   อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่อาจพบ คือ   

  • หากผิวหนังปลายจมูกบางอยู่แล้วอาจจะทั้งในเคสทำใหม่ หรือเคสแก้ไข   มีโอกาสสามารถมองเห็นลักษณะของชิ้นกระดูกอ่อนได้ชัดเจน  ดูไม่ธรรมชาติ   (ดังภาพ )
จากภาพ แสดงถึง ปัญหา visible graft หมายถึง การมองเห็นชิ้นกระดูกอ่อนที่ครอบไว้ปลายซิลิโคน เป็นวงนูน ไม่ธรรมชาติ
  • มีโอกาสที่กระดูกอ่อนจะตาย หรือสลายไปได้  เนื่องจากเลือดที่สามารถเข้ามาเลี้ยงได้เพียงด้านเดียว คือด้านที่สัมผัสกับผิวหนัง  เพราะอีกด้านหนึ่งวางอยู่บนซิลิโคนโดยตรง ไม่สามารถมีเลือดมาเลี้ยงได้ การอยู่รอดของกระดูกอ่อนนั้น ทางแพทย์เรียกว่า  grafting  ชิ้นกระดูกอ่อนที่ย้ายมาจากที่อื่นเปรียบเสมือนกาฝาก ต้องการสารอาหารและเส้นเลือดใหม่จากเนื้อเยื่อรอบๆ จึงควรวางให้สัมผัสกับเนื้อเยื่อที่ดีโดยรอบให้มากที่สุด
ดังภาพ ทั้งสองเคส พบว่าเมื่อกระดูกอ่อนสลายไปจึงมองเห็นซิลิโคนและผิวหนังที่ปลายบางเช่นเดิม

ข้อดี : คือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก  การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแก้โครงสร้างจมูก

ข้อเสีย : คือ มีความเสี่ยงเรื่องการมองเห็นชิ้นกระดูกอ่อนเป็นวงที่ปลายจมูกมีโอกาสเกิดการสลายไปของกระดูกอ่อน และเวลาสัมผัสที่ปลายจมูกยังรู้สึกถึงซิลิโคนได้

วิธีที่ 3 วิธี Open Rhinoplasty+Recon (เสริมจมูกแบบปรับโครงสร้าง สร้างปลายกระดูกอ่อนจริง)

เสริมจมูก  โดยการวางซิลิโคนหรือวัสดุอื่นเช่น  Gore-tex  เพื่อเสริมเฉพาะที่สันจมูก  ร่วมกับการปรับแต่งโครงสร้างกระดูกอ่อนที่ปลายจมูกและการเสริมกระดูกอ่อนที่ปลายจมูก (Nasal bridge implant  + Nasal tip framework reshaping + cartilage graft) (หมอพีระได้นำมาพัฒนาต่อเนื่องจนปัจจุบันกลายเป็นเทคนิคเฉพาะ PSC Technique)

ซึ่งการปรับแต่งปลาย บางครั้งหมอเรียกย่อๆว่า Tip  Modification  แต่แท้ที่จริงแล้วคนที่วางคอนเซปท์เรื่องนี้นานมาแล้ว คือ  Professor Jach H.Sheen  ปัจจุบันอยู่ที่ California ,USA  ซึ่งตอนนั้นนิยมใช้กระดูกอ่อนกั้นกลางจมูก (Septum) แต่ในปัจจุบันในวงการจะนิยมใช้กระดูกอ่อนจากส่วนหลังใบหู  (Concha)  หรือ กระดูกกั้นกลางจมูกก็ได้

กระดูกอ่อนจะถูกแก้ไขเพื่อสร้างเป็นปลายใหม่ที่ได้รูปสวย

วิธีนี้ในปัจจุบันได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะด้านเสริมจมูกและตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ระดับนานาชาติมากมาย และพิสูจน์แล้วว่ามีความปลอดภัยสูงที่สุดและคงทนถาวร  เพราะสาเหตุดังนี้    

  1. ซิลิโคนหรือวัสดุเสริมจมูก  จะถูกวางในตำแหน่งที่ปลอดภัยและพบปัญหาน้อยมากคือที่สันจมูกเท่านั้น
  2. ที่ปลายจมูกซึ่งมีความเสี่ยงสูง   ไม่มีการใช้ซิลิโคน แต่อาศัยการปรับแต่งโครงสร้างจริงเป็นหลัก ได้แก่ การปรับแต่งรูปทรงกระดูกอ่อนธรรมชาติ  ทั้งขนาด การเรียงตัว มุมและองศาต่างๆ  ความสั้นยาวของกระดูกอ่อนต่างๆ  เพื่อให้เข้าใกล้กับโครงสร้างจมูกที่สวยที่สุดตามธรรมชาติ   อาจร่วมกับการใช้กระดูกอ่อนเสริมที่ปลายจมูกเลียนแบบกระดูกอ่อนจริงตามธรรมชาติ  จึงไม่พบปัญหาการมองเห็นวงของกระดูกอ่อนแม้ผิวหนังบางมากๆ   หรือในงานแก้ไขเป็นต้น
  3. ผิวหนังที่ปลาย สามารถยืดตามกระดูกจริงได้ โดยไม่มีการบางลงระยะยาว  เนื่องจากไม่เกิดการฝ่อตัว  เพราะไม่ได้สัมผัสกับวัสดุเทียม
  4. กระดูกอ่อนที่ปลายจมูกเป็นลักษณะผสมผสาน ระหว่างกระดูกอ่อนจริงที่มีอยู่แล้ว กับย้ายกระดูกอ่อนมา  และไม่มีการใช้ซิลิโคนแทรก จึงแทบไม่มีปัญหาเรื่องการฝ่อหรือสลายไปของกระดูกอ่อน แต่จำเป็นต้องมีความรู้และ เทคนิคในการดูแลกระดูกอ่อนเป็นอย่างดี
  5. โครงสร้างที่ใบหู หรือ กระดูกกั้นกลางจมูก จะไม่เสียรูปทรง เพราะนำส่วนที่ซ่อนอยู่ เฉพาะบางส่วนไปใช้เท่านั้น

ข้อดี: ความคงทน  สวยงามและปลอดภัยระยะยาว เวลาสัมผัสเป็นธรรมชาติเนื่องจากเป็นปลายกระดูกอ่อนจริง
ข้อเสีย : ความซับซ้อนของการผ่าตัดสูงมากหลายเท่า ใช้เวลาผ่าตัดนานหลายชั่วโมง ค่าใช้จ่ายสูงผลลัพธ์ขึ้นกับเทคนิคค่อนข้างมาก และหากไม่ชำนาญการแก้ไขจะยากกว่าจึงต้องมีความแม่นยำสูง

กรณีการใช้กระดูกอ่อนเทียม เพื่อพยายามมาใช้แทนกระดูกอ่อนจริงนั้น วัสดุชนิดนี้แท้จริงคือ MEDPOR หรือ  porous polyethylene  จะมีรูพรุนให้เนื้อเยื่อเข้าไปยึดเกาะ หมอเลิกใช้ไปเมื่อหลายปีก่อนเนื่องจากพบปัญหาสำคัญคือ ยังมีโอกาสทะลุได้พอสมควร และปลายจมูกจะแข็งไม่มีการเคลื่อนไหวที่ดี  (Stiffness)  ปัจจุบันศัลยแพทย์ด้านทำจมูกที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศก็ไม่นิยมใช้เช่นกัน

สำหรับโดยส่วนตัว หมอชื่นชอบวิธีที่ 3 นี้  และใช้เป็นมาตรฐานในการผ่าตัดจมูก และได้ริเริ่มพัฒนามานาน ซึ่งที่ต่างประเทศก็มีการผ่าตัดลักษณะนี้อย่างแพร่หลายเช่นกันเนื่องจากปลอดภัยกว่าวิธีเดิม  หมอได้นำมาใช้กับคนไข้ตนเองตั้งแต่ยุคที่ในเมืองไทยยังไม่ค่อยรู้จัก บางศัลยแพทย์จึงยังออกความเห็นต่อต้านสิ่งเหล่านี้อยู่   ตอนที่มีสื่อมาสัมภาษณ์ก็เกิดกระแสต่อต้านรุนแรงพอสมควร  หมออดทนพัฒนาเรื่อยมาให้ได้งานที่สมบูรณ์ และปัจจุบันกลายเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้ว  ที่คลินิกเองคนไข้จะมาปรึกษาเรื่องการผ่าตัดจมูกชนิดนี้เป็นหลัก   จนแทบจะยกเลิกการผ่าตัดสองวิธีแรกไปแล้ว ทั้งที่แต่ก่อนหมอก็ชอบใช้ซิลิโคนเสริมจมูก และเห็นว่าสะดวกดี    

ข้อจำกัดคือ ความซับซ้อนในการผ่าตัดซึ่งมากกว่าปกติหลายเท่า  ใช้เวลาผ่าตัดนานเกือบ 3.5 ชั่วโมง/ราย ที่ PSC จึงรับเคสเพียงวันละ 1 รายเท่านั้น ยิ่งเคสแก้ไขยิ่งยากทวีคูณเพราะเซนสิทีฟมาก เพราะโครงสร้างทุกอย่างต้องซ่อมส่วนที่เสียหายจากซิลิโคนเดิมเสียก่อนและผิวหนังก็มักจะบางมาก

ในแง่ของคนไข้เอง  คนที่สนใจในการผ่าตัดชนิดนี้ก็ควรสอบถามศัลยแพทย์ของตนในรายละเอียดว่าการผ่าตัดเสริมจมูกเป็นวิธีไหนในระหว่าง 3 วิธีดังกล่าว  และอาจต้องตัดสินใจในแง่ของความเสี่ยง ข้อดี ข้อเสีย และ ค่าใช้จ่ายที่ตนเองยอมรับได้ด้วยเช่นกันครับ

ข้อดี : คือ ค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนัก  การผ่าตัดทำได้รวดเร็ว เพราะไม่ต้องแก้โครงสร้างจมูก

ข้อเสีย : คือ มีความเสี่ยงเรื่องการมองเห็นชิ้นกระดูกอ่อนเป็นวงที่ปลายจมูกมีโอกาสเกิดการสลายไปของกระดูกอ่อน และเวลาสัมผัสที่ปลายจมูกยังรู้สึกถึงซิลิโคนได้

รีวิว เคสแก้จมูกแหลม

รีวิวแก้ไขเสริมจมูก( กระดูกอ่อนหลังหู)

คุณหมอพีระ ได้รับเชิญจากสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย ปี 2020

บรรยายวิชาการ 2 เรื่อง คือ “เทคนิคการผ่าตัดเสริมหน้าอก”
และ “การผ่าตัดเสริมจมูกด้วยการสร้างปลายกระดูกอ่อนจริง ”

จำเป็นหรือไม่ที่คนไทยต้องบินไปผ่าตัดจมูกและแก้ไขโครงสร้างกระดูกอ่อนแบบนี้ที่เกาหลี ?

จริงๆแล้วไม่จำเป็น เป็นเพียงความเชื่อ ด้วยสื่อโฆษณาต่างๆและการชักชวนของเอเจ้นท์ ทำให้ปีหนึ่งๆคนไทยได้บินไปและเสียค่าผ่าตัดสูงกว่าที่จำเป็นถึงสองสามเท่าตัว ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและที่พัก และยังมีเคสกลับมาแก้ไขที่เมืองไทยบ่อยๆ รวมถึงผลแทรกซ้อนต่างๆเพราะไม่สามารถดูแลใกล้ชิดได้

รีวิวเคส เสริมจมูก แก้ไขจมูก

รีวิวแก้จมูกK.นิวเคลียร์ (ดารานักแสดง)​

รีวิวแก้จมูกคุณนิวเคลียร์(ดารานักแสดง) แก้จมูกคุณนิวเคลียร์ หรรษา by อจ พีระ PSC (# สำหรับผลงานระยะยาว ติดตามคุณนิวเคลึยร์ได้ใน...

Read More

รีวิวเคสแก้จมูก คุณน้ำหนึ่ง (Youtuber)

รีวิวเคสแก้จมูก คุณน้ำหนึ่ง (Youtuber) ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการศัลยกรรมตกแต่ง เสริมหน้าอก ทำนม ศัลยกรรมหน้าอก (Breast surgery) และศัลยกรรมจมูก...

Read More

คำถามที่มักพบบ่อย FAQ.

เสริม หน้าอกสามารถนิ่มได้ใกล้เคียงหน้าอกจริง โดยขึ้นกับปริมาณของเนื้อไขมันที่มี  ปริมาณเนื้อเต้านม   และชนิดของซิลิโคน   และมีพังผืดด้วยหรือไม่

สามารถพบได้แต่น้อยมาก  ขึ้นกับคุณภาพของผิวหนังและขนาดที่ใส่ใหญ่มากเกินไปหรือไม่

ให้นมบุตรได้ปกติ   แนะนำไม่เกินประมาณ 6-8 เดือน เพื่อป้องกันการยืดขยายของเต้านมนานเกินไป 

ไม่เพิ่มความเสี่ยง  โดยความเสี่ยงเท่ากับคนปกติที่ไม่เสริมเต้านม   

ปัจจุบันนิยมใช้ถุงซิลิโคนเจล   ชนิดผิวนาโนเทคเจอร์ หรือผิวเรียบ     เลือกขนาดที่พอเหมาะกับร่างกาย   ตามสภาพขนาดลำตัวและลักษณะผิวหนัง ความหนาบางของเต้านม   การคล้อยตัวของหน้าอก  โดยอยู่ในคำแนะนำของศัลยแพทย์  

แนะนำพักกล้ามเนื้อและแผลผ่าตัดประมาณ 6 เดือน 

แนะนำผ่าตัดหลังจากอายุ 17 ปี ขึ้นไป เพื่อรอให้เต้านมเจริญเติบโตเต็มที่ก่อน

ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทุก 10 ปี แนะนำให้ทำ MRI scan  ที่ระยะ 8-9 ปี หลังผ่าตัด  เพื่อตรวจเช็คถุงซิลิโคน หากปกติสามารถใช้ต่อได้โดยทำสแกนซ้ำทุกๆ 3 ปี

การเกิดพังผืดเกิดจากการตอบสนองของร่างกายต่อสิ่งแปลกปลอม   ปัจจุบันพบน้อยมากราว 0.2%  ในการผ่าตัดสมัยใหม่  

เริ่มตั้งแต่การผ่าตัดต้องบาดเจ็บน้อย  เพื่อลดการอักเสบและการตอบสนองให้มากที่สุด รวมถึงการเลือกซิลิโคนชนิดที่ร่างกายตอบสนองน้อย ( Biocompatibility ดี)    และมีความคงทนสูง  ไม่มีการซึมของเจลได้ง่าย( Gel bleed)   และการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดที่ถูกต้อง

เริ่มตั้งแต่การผ่าตัดต้องบาดเจ็บน้อย  เพื่อลดการอักเสบและการตอบสนองให้มากที่สุด รวมถึงการเลือกซิลิโคนชนิดที่ร่างกายตอบสนองน้อย ( Biocompatibility ดี)    และมีความคงทนสูง  ไม่มีการซึมของเจลได้ง่าย( Gel bleed)   และการปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดที่ถูกต้อง

ทำได้ตามปกติแต่ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าอกที่มากเกินไปในช่วงที่กล้ามเนื้ออักเสบโดยเฉพาะช่วง 1 เดือนแรก

นอกจากการผ่าตัดการเย็บที่ดีแล้ว  ให้หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่มากเกินไป เพื่อลดแรงดึงที่แผล และปิดแผ่นเจล  ทายาที่แผลผ่าตัดในระยะเวลา 6 เดือน  อย่างเคร่งครัด

พบว่าเกิดได้ในชาวตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ ถือเป็นโรคหายาก เกี่ยวข้องกับซิลิโคนชนิดผิวทรายหยาบแบบดั้งเดิม ที่กระตุ้นให้เกิดการระคายเคืองเป็นระยะเวลานาน  ไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับซิลิโคนชนิดผิวเรียบหรือทรายกึ่งเรียบ 

ในปัจจุบันองค์การอนามัยโลกยังไม่แนะนำคนไข้ให้ผ่าตัดซิลิโคนชนิดผิวทรายแบบดั้งเดิมนึ้ออก
เพราะความเสี่ยงต่ำมาก  แนะนำให้สังเกตอาการโดยปรึกษาแพทย์